วันพุธที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2556

สังคม...คือ การตัดสินใจที่คาดไม่ถึง


เชื่อไหมว่า เราในศตวรรษที่ 21 และเราก่อนหน้านี้ 10000 ปี ยังดำรงชีวิตแบบเดิมๆ
ก่อกำเนิดสังคมมนุษย์กำเนิดขึ้นด้วย " ความเห็นแก่ตัว " หรือถ้าจะให้ฟังดูดีอาจกล่าวได้ว่า "สังคมนุษย์ก่อกำเนิดเพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานของแต่ละบุคคล" เช่น มีวัยทารกยาวนาน มีความสามารถทางตรรกะเพื่อผลประโยชน์สูงสุด ฯลฯ ดังนี้แล้วจึงเกิดการรวมตัวกันขึ้นมา
....
เมื่อรวมตัวกันขึ้นมาแล้ว เนื่องจากมนุษย์มีเสรีภาพที่คิดได้อย่างเสรี จึงเกิดคำถามขึ้นว่า "ความคิดใครดีที่สุด"
การต่อสู้ ยิ่งชิง ความเป็นใหญ่ในกลุ่ม (ประชากร ต่อ พื้นที่) เพื่อที่จะได้เป็น "ผู้นำ" โดยมีพื้นฐานความคิดที่ว่า "ฉันเท่านั้นที่ถูกต้อง" 
สมัยนั้นอาจเป็นการประลองกำลัง การแข่งขันโดยใช้พละกำลัง และท้ายที่สุดก็ก้าวเข้ามาสู่สังคมที่มี "ชนชั้นผู้นำ" ในที่สุด
....
เวลาผ่านไป...อัตราส่วนของประชากรต่อพื้นที่เริ่มมากขึ้น กล่าวคือ มีประชากรมากขึ้นในพื้นที่ๆจำกัด และในพื้นที่ พื้นที่หนึ่งมีทรัพยากรที่ตอบสนองความต้องการของมนุษย์ที่จำกัด
การขยายพื้นที่เพื่อให้มีทรัพยากรมาตอบสนองความต้องการในกลุ่ม
....
สงครามถือกำเนิดขึ้น
....
บนโลกใบนี้ มิใช่มีเพียงกลุ่มๆเดียว มีกลุ่มหลายกลุ่ม จากหลายเผ่าพันธุ์ และแต่ละกลุ่มต่างครอบครองพื้นที่ที่มีทรัพยากรมากที่สุดเท่าที่พวกเขาจะหาได้ การขยายตัวของแต่ละกลุ่ม ทำให้เกิดการปะทะกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้ชนะเป็นผู้ครอบครอง ก่อให้เกิดปรัชญาการปกครองและผู้นำข้อแรกขึ้น
หากกลุ่มไม่อาจตั้งอยู่ได้ ข้าพเจ้า(ผู้นำ) ก็ไม่อาจอยู่ได้
ผู้นำตระหนักเป็นอย่างดีว่า เขาเพียงคนเดียวมิอาจมีชัย ไม่อาจตอบสนองความต้องการของกลุ่มได้ จำเป็นต้องมีการช่วยเหลือกัน แม้ในการต่อสู้แย่งชิง (สงคราม) ก็ดี เหล่านี้จึงเกิดปรัชญาขึ้นอีกข้อ
จงอย่าต่อสู้เพื่อข้าพเจ้า(ผู้นำ) แต่จงต่อสู้เพื่อตัวท่านเองและคนที่ท่านรัก
ผู้ชนะเป็นเจ้าของ ผู้แพ้ถูกควบรวมหรือทำลายไป การควบรวมก่อให้เกิดการเกลียดชัง ตามมาด้วยการกดขี่
"สงครามต่างผู้เสียสละ ผู้แพ้ต้องชดใช้ส่วนนั้น"
ขณะเดียวกันสังคมขยายใหญ่ขึ้น สงครามลดน้อยลง การจัดการทรัพยากรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
...
แต่ผู้นำยังคงอยู่
...
ผู้นำเริ่มรู้สึกว่าตนเองมีความพิเศษยิ่งใหญ่ หลงลืมสัจธรรมข้อแรก หรือ "หน้าที่" ของตน แต่กลับนำสัญชาตญาณเริ่มต้น คือ "ความเห็นแก่ตัว" เข้ามาใช้ ( David Easton กล่าวว่า อำนาจการปกครองคืออำนาจที่สามารถบังคับการจัดสรรทรัพยากรที่มีอย่างจำกัดได้)
....
แต่เมื่อสังคมไม่อาจตั้งอยู่ อันเนื่องมาจากการขูดเลือดขูดเนื้อของชนชั้นผู้นำ 
ผู้นำก็ไม่อาจตั้งอยู่ได้เช่นกัน
....
การปฏิวัติเป็นเรื่องของความไม่พอใจ อันเนื่องมากจากการจัดสรรไปเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น*

ผู้ปฏิวัติ จึงมักอ้างอำนาจอันชอบธรรมว่า "เพื่อสิ่งที่ดีขึ้นแก่ทุกๆคน"
แต่โปรดสังเกตว่า มีเพียงแค่ 1 ใน 10 เท่านั้น ที่ชนชั้นผู้ตามจริงๆ ที่ลุกขึ้นมาปฏิวัติ
อีก 9 ใน 10 คือ ผู้มีอำนาจอีกกลุ่มหนึ่ง "ที่ไม่ได้เป็นผู้นำแล้ว"
.......
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเก่า...และยังดำเนินอยู่
.......
แต่สิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่ เป็นสิ่งที่ไม่มีใครเคยเผชิญมาก่อน
นั่นคือกลุ่มทุกกลุ่ม สังคมทุกสังคมกำลังรวมเป็นหนึ่งเดียว..อันเนื่องมากจากผลประโยชน์(ที่เกิดจากการจัดสรรโดยอำนาจนั้น)
เราเรียกกันอย่างสวยหรูว่า
โลกาวิภัฒน์
สังคมใหญ่ขึ้น คนเยอะขึ้น พื้นที่มีเท่าเดิม ทรัพยากรมีเท่าเดิม
แต่ "ผู้นำมีจำนวนเท่าเดิมหรือน้อยลง" 
ก่อกำเนิด ปุคคลาธิษฐาน ในสังคมที่ยังเชื่อว่า
เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย
ถึงตอนนี้ได้เวลาหันกลับไปดูแล้วว่า บรรพบุรุษของเรา ฝากลูกหลานของพวกเขาไว้กับผู้นำประเภทไหน...
ขณะเดียวกับเราก็กำลังมองหาคุณค่าในตัวเอง ผลักดันตัวเองขึ้นไปอยู่ในระดับที่สูงขึ้น
เหล่านี้ก่อกำเนิดสิ่งใหม่มากมาย
ทุนนิยม เสรีภาพ การศึกษา ... ฯลฯ
แต่ผู้นำก็ยังเป็นคนเดิม กลุ่มเดิม และพวกเขาควบคุมการผลักดัน หรือ พูดตรงๆ คุณค่าที่เรามองตัวเอง อย่างลับๆ ด้วยเช่นกัน
เพราะ ทุนนิยม เสรีภาพ การศึกษา ฯลฯ ล้วนถูกสร้าง ควบคุม  โดยคนพวกนี้
แต่อย่างไรก็ตาม สังคมกำลังถูกควบรวมเป็นโลกาภิวัฒน์ ผู้นำต้องหันมองบัลลังค์ตัวเองแล้วว่า
ทำยังไงจะยังเป็นผู้นำต่อไป
ในเมื่อทรัพยากรหมดไป อาณาจักร เส้นแบ่ง กำลังบรรจบกัน
เหลือเพียง
สิ่งที่มีติดตัวบุคคล ...."ความคิด"....
ผู้ใดเป็นเจ้าของความคิด....ที่ดี...
ผู้นั้นย่อมเป็นผู้นำ
เพราะทรัพยากรที่มี ต้องการการพัฒนาได้อีก....
ความคิดเป็นทรัพย์สินชนิดหนึ่ง
To Be Continue....
_______________________________
*การจัดสรรอย่างที่ควรจะเป็นมีสองกรณีคือ 1) จัดสรรเพื่อตนเอง 2) จัดสรรเพื่อสังคมส่วนใหญ่อย่างมีสำนึก
เป็นเส้นแบ่งว่าผู้นำของคุณเป็นผู้นำประเภทไหน
และโปรดอย่าลืมว่า บรรพบุรุษคุณก็หลั่งเลือดเหนือเพื่อให้คุณอยู่ต่อ(อย่างดีที่สุดเท่าที่ท่านจะคิดได้) และนั้นก็ทำให้ ผู้นำ "นั่งบัลลังค์" ต่อไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อใดที่ "ผู้นำ" ทำเหมือนไม่เห็นคุณ(หรือบรรพบุรุษของคุณ)ในสายตา เมื่อนั้นคุณก็จงปกครองตนเอง!


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น