วันพุธที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2556

สังคม...คือ การตัดสินใจที่คาดไม่ถึง


เชื่อไหมว่า เราในศตวรรษที่ 21 และเราก่อนหน้านี้ 10000 ปี ยังดำรงชีวิตแบบเดิมๆ
ก่อกำเนิดสังคมมนุษย์กำเนิดขึ้นด้วย " ความเห็นแก่ตัว " หรือถ้าจะให้ฟังดูดีอาจกล่าวได้ว่า "สังคมนุษย์ก่อกำเนิดเพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานของแต่ละบุคคล" เช่น มีวัยทารกยาวนาน มีความสามารถทางตรรกะเพื่อผลประโยชน์สูงสุด ฯลฯ ดังนี้แล้วจึงเกิดการรวมตัวกันขึ้นมา
....
เมื่อรวมตัวกันขึ้นมาแล้ว เนื่องจากมนุษย์มีเสรีภาพที่คิดได้อย่างเสรี จึงเกิดคำถามขึ้นว่า "ความคิดใครดีที่สุด"
การต่อสู้ ยิ่งชิง ความเป็นใหญ่ในกลุ่ม (ประชากร ต่อ พื้นที่) เพื่อที่จะได้เป็น "ผู้นำ" โดยมีพื้นฐานความคิดที่ว่า "ฉันเท่านั้นที่ถูกต้อง" 
สมัยนั้นอาจเป็นการประลองกำลัง การแข่งขันโดยใช้พละกำลัง และท้ายที่สุดก็ก้าวเข้ามาสู่สังคมที่มี "ชนชั้นผู้นำ" ในที่สุด
....
เวลาผ่านไป...อัตราส่วนของประชากรต่อพื้นที่เริ่มมากขึ้น กล่าวคือ มีประชากรมากขึ้นในพื้นที่ๆจำกัด และในพื้นที่ พื้นที่หนึ่งมีทรัพยากรที่ตอบสนองความต้องการของมนุษย์ที่จำกัด
การขยายพื้นที่เพื่อให้มีทรัพยากรมาตอบสนองความต้องการในกลุ่ม
....
สงครามถือกำเนิดขึ้น
....
บนโลกใบนี้ มิใช่มีเพียงกลุ่มๆเดียว มีกลุ่มหลายกลุ่ม จากหลายเผ่าพันธุ์ และแต่ละกลุ่มต่างครอบครองพื้นที่ที่มีทรัพยากรมากที่สุดเท่าที่พวกเขาจะหาได้ การขยายตัวของแต่ละกลุ่ม ทำให้เกิดการปะทะกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้ชนะเป็นผู้ครอบครอง ก่อให้เกิดปรัชญาการปกครองและผู้นำข้อแรกขึ้น
หากกลุ่มไม่อาจตั้งอยู่ได้ ข้าพเจ้า(ผู้นำ) ก็ไม่อาจอยู่ได้
ผู้นำตระหนักเป็นอย่างดีว่า เขาเพียงคนเดียวมิอาจมีชัย ไม่อาจตอบสนองความต้องการของกลุ่มได้ จำเป็นต้องมีการช่วยเหลือกัน แม้ในการต่อสู้แย่งชิง (สงคราม) ก็ดี เหล่านี้จึงเกิดปรัชญาขึ้นอีกข้อ
จงอย่าต่อสู้เพื่อข้าพเจ้า(ผู้นำ) แต่จงต่อสู้เพื่อตัวท่านเองและคนที่ท่านรัก
ผู้ชนะเป็นเจ้าของ ผู้แพ้ถูกควบรวมหรือทำลายไป การควบรวมก่อให้เกิดการเกลียดชัง ตามมาด้วยการกดขี่
"สงครามต่างผู้เสียสละ ผู้แพ้ต้องชดใช้ส่วนนั้น"
ขณะเดียวกันสังคมขยายใหญ่ขึ้น สงครามลดน้อยลง การจัดการทรัพยากรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
...
แต่ผู้นำยังคงอยู่
...
ผู้นำเริ่มรู้สึกว่าตนเองมีความพิเศษยิ่งใหญ่ หลงลืมสัจธรรมข้อแรก หรือ "หน้าที่" ของตน แต่กลับนำสัญชาตญาณเริ่มต้น คือ "ความเห็นแก่ตัว" เข้ามาใช้ ( David Easton กล่าวว่า อำนาจการปกครองคืออำนาจที่สามารถบังคับการจัดสรรทรัพยากรที่มีอย่างจำกัดได้)
....
แต่เมื่อสังคมไม่อาจตั้งอยู่ อันเนื่องมาจากการขูดเลือดขูดเนื้อของชนชั้นผู้นำ 
ผู้นำก็ไม่อาจตั้งอยู่ได้เช่นกัน
....
การปฏิวัติเป็นเรื่องของความไม่พอใจ อันเนื่องมากจากการจัดสรรไปเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น*

ผู้ปฏิวัติ จึงมักอ้างอำนาจอันชอบธรรมว่า "เพื่อสิ่งที่ดีขึ้นแก่ทุกๆคน"
แต่โปรดสังเกตว่า มีเพียงแค่ 1 ใน 10 เท่านั้น ที่ชนชั้นผู้ตามจริงๆ ที่ลุกขึ้นมาปฏิวัติ
อีก 9 ใน 10 คือ ผู้มีอำนาจอีกกลุ่มหนึ่ง "ที่ไม่ได้เป็นผู้นำแล้ว"
.......
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเก่า...และยังดำเนินอยู่
.......
แต่สิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่ เป็นสิ่งที่ไม่มีใครเคยเผชิญมาก่อน
นั่นคือกลุ่มทุกกลุ่ม สังคมทุกสังคมกำลังรวมเป็นหนึ่งเดียว..อันเนื่องมากจากผลประโยชน์(ที่เกิดจากการจัดสรรโดยอำนาจนั้น)
เราเรียกกันอย่างสวยหรูว่า
โลกาวิภัฒน์
สังคมใหญ่ขึ้น คนเยอะขึ้น พื้นที่มีเท่าเดิม ทรัพยากรมีเท่าเดิม
แต่ "ผู้นำมีจำนวนเท่าเดิมหรือน้อยลง" 
ก่อกำเนิด ปุคคลาธิษฐาน ในสังคมที่ยังเชื่อว่า
เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย
ถึงตอนนี้ได้เวลาหันกลับไปดูแล้วว่า บรรพบุรุษของเรา ฝากลูกหลานของพวกเขาไว้กับผู้นำประเภทไหน...
ขณะเดียวกับเราก็กำลังมองหาคุณค่าในตัวเอง ผลักดันตัวเองขึ้นไปอยู่ในระดับที่สูงขึ้น
เหล่านี้ก่อกำเนิดสิ่งใหม่มากมาย
ทุนนิยม เสรีภาพ การศึกษา ... ฯลฯ
แต่ผู้นำก็ยังเป็นคนเดิม กลุ่มเดิม และพวกเขาควบคุมการผลักดัน หรือ พูดตรงๆ คุณค่าที่เรามองตัวเอง อย่างลับๆ ด้วยเช่นกัน
เพราะ ทุนนิยม เสรีภาพ การศึกษา ฯลฯ ล้วนถูกสร้าง ควบคุม  โดยคนพวกนี้
แต่อย่างไรก็ตาม สังคมกำลังถูกควบรวมเป็นโลกาภิวัฒน์ ผู้นำต้องหันมองบัลลังค์ตัวเองแล้วว่า
ทำยังไงจะยังเป็นผู้นำต่อไป
ในเมื่อทรัพยากรหมดไป อาณาจักร เส้นแบ่ง กำลังบรรจบกัน
เหลือเพียง
สิ่งที่มีติดตัวบุคคล ...."ความคิด"....
ผู้ใดเป็นเจ้าของความคิด....ที่ดี...
ผู้นั้นย่อมเป็นผู้นำ
เพราะทรัพยากรที่มี ต้องการการพัฒนาได้อีก....
ความคิดเป็นทรัพย์สินชนิดหนึ่ง
To Be Continue....
_______________________________
*การจัดสรรอย่างที่ควรจะเป็นมีสองกรณีคือ 1) จัดสรรเพื่อตนเอง 2) จัดสรรเพื่อสังคมส่วนใหญ่อย่างมีสำนึก
เป็นเส้นแบ่งว่าผู้นำของคุณเป็นผู้นำประเภทไหน
และโปรดอย่าลืมว่า บรรพบุรุษคุณก็หลั่งเลือดเหนือเพื่อให้คุณอยู่ต่อ(อย่างดีที่สุดเท่าที่ท่านจะคิดได้) และนั้นก็ทำให้ ผู้นำ "นั่งบัลลังค์" ต่อไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อใดที่ "ผู้นำ" ทำเหมือนไม่เห็นคุณ(หรือบรรพบุรุษของคุณ)ในสายตา เมื่อนั้นคุณก็จงปกครองตนเอง!


วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2555

คุณจะทำยังไงเหรอ?

คุณจะเป็นเบย์อยู่ใต้เงามือของคนที่ตัวเท่าคุณ หรือคุณจะลุกขึ้นไปเพื่อสู้กับมัน ก็แล้วแต่คุณจะเลือก แต่ผมนะ จะไม่ยอมให้มันหลอกหลอนผมหรอก!

คุณอาจจะบอกว่า "ฉันเห็นอะไรมาเยอะ เมื่อไหร่ที่คุณเลิกโง่ คุณก็จะรู้เหมือนที่ฉันรู้"
ผมอาจถามเขาว่า "คุณรู้อะไรเหรอครับ?"
"คุณไม่ควรไปยุ่งกับมัน คุณควรปล่อยมันไปอย่างที่มันควรจะเป็น"
ถามตัวเองเถอะนะครับว่าคุณเกิดมาเพื่ออะไร?
สำหรับผม เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงมัน ระบบที่ไร้แก่นสาร นามธรรมที่ใครหน้าไหนก็แอบอ้างเพื่อตัวเองได้อย่างทุเรศ ผู้นำที่เปิดเวทีการกุศลกลางสภาถ่ายทอดไปทั่วโลก
เราคงภูมิใจที่มันจะเป็นแบบนี้ ถ้ามันไม่ใช่แผ่นดินแม่ของเรา
แล้วฉันจะทำอะไรได้ล่ะ? แล้วคุณละจะทำอะไรได้?
ผมทำไม่ได้หรอกครับ...ผมตอบเบาๆ
ฉันทำไม่ได้หรอก เราต้องมีคน มีทุน มีอำนาจ มีเกียรติยศ เราต้องเพียบพร้อม...
แต่ว่า คุณครับ ท่าถึงวันนั้น ถ้าคุณมีเท่านั้น คุณคงไม่มีกะใจไปเปลี่ยนแปลงอะไร เพราะในสาตายคุณ มันดีแล้ว ถ้าฉันเปลี่ยนมัน มันก็จะเปลี่ยนฉัน ฉันได้เข้าไปอยู่ในวังวนของสิ่งที่คุณเคยคิดว่าจะเปลี่ยนแปลง...ถ้าหากคุณรอ

มองหาเสรีภาพในเงามืด เหมือนการมองหาแสงในคืนเดือดดับสิ่งหนึ่งที่คุณจะเห็นก็คือ ดาวบนฟ้า! ดาวที่คุณมองเห็น แต่คุณสัมผัสไม่ได้ เสรีภาพที่สร้างความแตกต่างระหว่างคุณกับดาว

ก็ฉันตัวเล็กนี่น่า ดาวมันดวงใหญ่...
แล้วคุณเห็นดาวดวงแค่ไหนละ
ผมยกมือขึ้นปิดมัน มิดนะ.. มิดเลยละ
เหมือนการเปลี่ยนช่องโทรทัศน์

"บุคคลจะเริ่มมีชีวิตที่แท้จริงก็ต่อเมื่อเขาสามารถดำเนินชีวิตโดยหลุดพ้นจากตัวตน"
ทำอย่างไรดีละ...
รอให้คนมาชี้นิ้วสั่งว่า เธอต้องเป็นแบบนี้นะ
หรือคุณจะพูดเองว่า นี่มันไกลตัว มันไม่เกี่ยวกับฉัน
คุณคือใคร ใครคือคุณ รู้ไหม มนุษย์เราคือขีดสุดของวิวัฒนการบนโลก กำเนิดมาเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้โลกใบนี้

ฉันไม่อยากรับรู้หรอก นี่คำตอบของบัณฑิตใหม่หลายคน
ผมเสียใจ ที่รัก ผมเสียใจ
การศึกษาช่วยอะไรคุณไหม? ช่วยให้คุณเข้าใจคุณค่าของชีวิตมั้งไหม
ฉันจะใช้สิ่งที่เรียนมาเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดนะจ้ะ...

ครับ ผม เชื่อ คุณ
ผมแนะนำให้คุณดูหนังเรื่อง "Puncture ปิดช่องไวรัสฆ่าโลก"
สมมุติว่าคุณเป็นพยาบาลคนหนึ่งละกันนะครับ...

คุณอาจจะต้องสังเวยชีวิตตัวเอง หรือชีวิตอีกนับแสน นับล้าน เพื่อเพิ่มสินทรัพย์ให้กับใครบางคน หรือตะกูลใดตระกูลหนึ่ง ชีวิตของคูรและอีกหลายคนๆเพื่อให้คนเหล่านี้ให้สืบทอดลูกหลาน มา เพื่อ ทำในสิ่งที่พวกเขาทำกับคุณ แต่ตอนนี้ไม่ใช่คุณ แต่มันือลูกหลานของคุณ!

เห็นอนาคตที่คุณกุมไว้ไหมครับ
ถึงเวลาหรือยังที่จะหยุดหรือเส้งเค้งนี่ซักที หยุดวงจรอุบาทว์ที่เพื่อใคร หรือเพื่ออะไร
ระบบที่ทำลายคุณและลูกหลานของคุณไปทุกๆลมหายใจ

ก้าวออกมาเถอะครับ ^ ^
ทำในสิ่งที่ธรรมชาติมอบให้เราเถอะครับ "สร้างความเปลี่ยนแปลง"

มีเพียงชีวิตเพื่อผู้อื่นเท่านั้นที่มีคุณค่าแก่การมีชีวิต
Only a life lived for others is a life worth while.

Albert Einstein...

วันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ก็แค่ขอบ่น:มิถุนายน 2555


ก็แค่ขอบ่น(สาระนิสนึง ถึงปานกลาง)
มิถุนายน 55
             สวัสดีงามๆ ก่อนวันวิสาขบูชาโลก  อย่าได้เข้าใจผิด! ไม่ได้มาเรื่องธรรมะ (อันนั้นเอาไว้รอบค่ำล่ะกันเนอะ) อะแฮ่ม...
คงเปิดเทอมกันทุกรูปทุกนามกันแล้วสินะ การบ้านเยอะไหมเอ่ย ดูแลตัวเองกันด้วยล่ะ ^ ^
พูดถึงเปิดเทอมก็คงไม่พ้นเรื่องเรียนๆ (มั้ง)นะ เพื่ออะไรเคยถามตัวเองไหมเอ่ย ความฝัน ความหวัง เป้าหมายของเรา
ไม่กี่วันก่อนผู้เขียนได้ยินคำพูดจากพี่ที่เคารพนับถือกันท่านหนึ่ง ท่านว่า ”เรียน อย่าตามใจตัวเอง เรียนให้คิดถึงอนาคตเข้าไว้ บังคับใจตัวเองแล้วอนาคตจะดีเอง”
ประเด็นนี้น่าคิดนะ เรื่องเรียนนี่หลายคนเลือกได้ หลายคนเลือกไม่ได้นะ (คือว่า ครอบครัวเนอะ) โดยตัวผู้เขียนนี่เองได้อยู่หรอก แต่จะเลือกอะไรดี ก็เรามันตัวขี้เกียจ เอิ๊ก
เพื่อให้การบ่นไปอย่างครอบคลุมและพาดพิงบุคคลอื่นมากขึ้น เอิ่ม ผู้เขียนขอยกเอาคำพูดอาจารย์ของผู้เขียนมาซักหนึ่งประโยค ท่านว่า”ชีวิตวัยเรียนนี่แหละ สบายที่สุดแล้ว”
ท่านทั้งหลายคิดว่ายังไงล่ะครับ
ถ้าให้ผู้เขียนพูดถึง ก็คงจะเป็นไปดังนี้
-          สมัยเด็กเราอยากโตๆ โตแล้วจะได้ไม่ต้องมาฟังผู้ปกครองพูดว่า “ยังเด็กอยู่ รอให้โตก่อน” เราถึงมักคิดว่า โตแล้วมันจะดี อ่านะ
-          วัยรุ่น บางบ้าน บอกตามตรง กรอบเยอะกว่าสมัยเด็กอีก ยังไงก็ให้คิดเอา แต่ก็อยากให้ทราบว่า ก็ผู้เปกครองท่านเป็นห่วงอ่ะเนอะ
 -    เรียนช่วงโตแล้วนี่(วัยรุ่น) อะไรมันจะลำบากขนาดนี้หว่า เกรดก็ห่วย ทางบ้านก็บ่น TT^TT เศร้าได้อีกนะ 55

ผู้เขียนเชื่อว่า เราทั้งหลายเคยบ่นว่า สมัยประถม มัธยม เอ๊ะ เกรดตรูทำไมมันเยอะกว่านี้หว่า เอิ๊กๆ
-         จากข้อข้างต้น แสดงให้เห็นว่า ถ้าคุณมั่วแต่เที่ยวเล่น คิดว่า ตอนแก่ค่อยเรียนก็ได้ เมื่อตอนแก่ คุณก็จะคิดว่า น่าจะเรียนตอนหนุ่ม

-          เอ้า ฉันจะตั้งใจเรียน แล้วจะเรียนอะไรดีละ ^ ^ อันนี้ก็ยากไป อันนั้นก็ยากไป อันโน้นคนก็เข้าเยอะ อันนั้นกลัวไม่มีงานทำ เอ่อ มันจะยากไปไหม (ถามว่าผู้เขียนคิดไหม คิด ! อยู่นะเออ)
-          ทำไงดี TT^TT (จะร้องแล้วนะ เลือกไม่ถูก เครียด ) เอางี้ คิดว่าตัวเองทำอะไรได้ดีที่สุด ก็เอาอันนั้นแหละครับ ไม่ต้องไปกลัวไม่มีงาน เราถนัด เราชอบ เรารัก เราทำได้ ก็ทำให้มันดี ดีพอที่จะมีคนรับเรา สู้ๆครับ ไม่รับก็ทำด้วยตัวเองเลย กรอบน่ะ ไม่ได้มีไว้ให้คนอย่างเราอยู่หรอก!! (เอ่อ ให้มันคิดได้แบบนี้ครับ  ไทยแลนด์จะดีขึ้นมาก)
-          เอาล่ะ ได้เรียนแล้ว เรียนให้ดีครับ  ให้ดีพอไปเลย (ไปถามเด็กซิ่วเขาสิว่าทำไมต้องกลับมาเรียน ปีหนึ่งใหม่)
-          ทำอะไรไม่อดทน ไม่พยายาม ซักแต่เอาความใช่ มัน “กาก” บอกตามนั้นครับ เสรีก็รู้ อิสระก็ทราบ ใช่ เรามีเสรี เรามีอิสระ แต่เรามี วินัยในตัวเองไหมครับ เรามีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เราเลือกแล้วไหมล่ะ
-          อืม ถ้าเลือกเองไม่ได้ ก็ให้บิดามารดาผู้ปกครองเลือกเถอะครับ ให้ท่านชี้ทางให้ อย่าไปตามกระแส ตามเพื่อน เพราะเพื่อนเมื่อจบมา อาจกลายเป็น “คู่แข่ง” ได้ทันทีครับ
-          ไว้คิดออกจะมาเพิ่มให้ ^ ^”
เกิดมาทั้งทีต้องเอาดีให้ได้ เกิดมาทั้งทีต้องฝากดีเอาไว้
ทำดีแล้วตายก็ให้มันตาย ไม่ตายก็ให้มันดี

หลักธรรม: อิทธิบาท 4 พล 5  ศึกษาเพิ่มเติมได้ครับ
ปล. สำหรับใครที่ติดตาม มนุษย์ (The Human ) ภาค 3:วิญญาณ จะออกเร็วๆนี้ครับ

วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ชีวะพันธุ์แห่งความรู้สึก:ปฐมบทแห่งการเริ่มต้น


ใครคนหนึ่งบอกให้ผมฟังเพลงๆหนึ่ง ห้ารอบ แต่จนบัดนี้ผมฟังแล้วกว่าห้าสิบรอบ ไม่ใช่เพราะผมชอบเพลงๆนั้นหรอกอาจชอบคนที่บอกให้ผมฟังมันมากกว่า
ค่ำคืนที่มืดมิดมักจะยาวนานกว่าจริงหรือ?  ไม่แน่หรอกนะ มันอาจจะยาวเท่ากันก็เป็นได้ คืนนี้ก็เช่นกัน เป็นคืนที่มืดมิดและเงียบสงบ ไร้แสงจากดวงดาวใดๆ ผมนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นกิจวัตรของผม วันนี้ก็คงจะเหมือนทุกๆวัน เรียน  เล่น หลับ สามคำ สำหรับชีวิตในแบบแผนของเยาวชนไทยหลายๆคน
ดึกแล้ว...สิ่งที่อยู่เป็นเพื่อนผมคือเสียงเพลงเพลงหนึ่ง คงเป็นอะไรที่ช่วยสร้างบรรยากาศสร้างความเพลิดเพลินในคืนเงียบๆเช่นนี้
ไม่มีอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้หรอกนะ ที่ผมจะพูดวันนี้
..........
ความรัก คำสั้นๆ คำง่ายๆ ที่มีความหมายนับไม่ถ้วน สุดแต่คุณจะนึกจินตภาพออก มีคู่รักหลายคู่บอกว่า พอเรารักกันแล้ว อย่าพูดคำว่ารัก บ่อยๆนะ มันจะทำให้คุณค่าของมันลดลง ผมไม่ออกความเห็นเรื่องนี้หรอกนะ มันแล้วแต่คุณจะนึกว่าความรักของคุณหมายถึงอะไร ^ ^
ความรัก เป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์แห่งความรู้สึกที่มีถิ่นอาศัยในมโนสำนึกของคนเรา เป็นอะไรที่ละเอียดอ่อน เข้าใจยาก ปลูกยาก ดูแลรักษายาก แต่ก็เป็นความปรารภนาของใครหลายๆคนที่จะมีมันไว้ในครอบครอง
ถ้าคุณรักใครซักคน ก็จะมีเมล็ดพันธุ์หนึ่งเมล็ดที่เนรมิตตัวเองขึ้นมา ให้คุณนำไปปลูกหว่านไว้ในใจ
ว่าแต่จะปลูกไว้ในใจของใครดีละ...
คนส่วนใหญ่มักจะเอามันไปปลูกไว้ในใจของคนที่ตนเองรัก หวังว่าเขาจะดูแลทะนุถนอมมันอย่างดี
แต่....
เมื่อมีใครซักคนอยู่ในฐานะที่ไม่อาจทำอย่างนั้นได้
เขาปลูกมันไว้ในใจของเขา ดูแลให้มันเติบโตงอกงาม บัดนี้ มันออกผลแล้วละ เขาถือผลของต้นรักนี้ ไปอวดคนที่เขารัก และแบ่งมันกับหล่อน สุดท้ายแล้ว ก็เหลือเพียงเมล็ดพันธุ์เช่นเดิม
เมล็ดพันธุ์หนึ่งเมล็ด ที่สามารถออกผลหนึ่งผลได้เช่นเดิม แต่ถ้าหากไม่ปลูก ก็คงไม่เกิด
บัดนี้แล้ว เขาจะปลูกมันที่ไหนดี
เขาตัดสินใจทำสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำ ปลูกมันลงไปในใจของคนที่เขารัก การตัดสินใจของเขาครั้งนี้ คือความเสี่ยงอย่างยิ่ง เพราะครานี้ มันไม่ได้อยู่บนใจของเขาเอง...
หลังจากปลูกมันลงไป เธอผู้เป็นที่รักของเขาก็ได้บอกบางอย่างกับเขา
“ครั้งหนึ่ง เคยมีเมล็ดพันธุ์ที่เป็นของคุณหว่านลงตรงนี้ บัดนี้ต้นนั้นมันตายแล้ว และตอนนี้ก็มีต้นไม้ต้นอื่นขึ้นแทนที่มันอยู่แล้ว แต่เอาเถิด ก็คุณได้ปลูกแล้วนี้ เราจะช่วยกันดูแลให้มันเติบโตนะ”
เขาพูดออกมาเบาๆว่า เป็นอย่างที่คิดจริงๆด้วย นี่แหละนะถึงเป็นสาเหตุที่ผมปลูกมันไว้ในใจตัวเอง
แต่เอาเถิดผมไม่เสียใจหรอกที่ทำแบบนี้ ผมก็อยากจะรู้ว่า ผมจะสามารถดูแลมันได้ดีจริงๆหรือไม่   
คุณคิดว่าเขาทำได้ไหม....

วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เชื่อสิ บางทีคุณก็ไม่อยากมีความทรงจำมากดีนักหรอกนะ


เชื่อสิ บางทีคุณก็ไม่อยากมีความทรงจำมากดีนักหรอกนะ.....

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า...นามธรรมที่มีผลต่อชีวิตของเรามากที่สุดอย่างหนึ่ง ก็คือ ความทรงจำ สิ่งนี้เปรียบเสมือนผ้าขาว ที่บริสุทธิ์และไวต่อการสัมผัส ไม่ว่ามันจะสัมผัสถูกสีอะไร ถูกฝุ่น หรืออื่นๆ แต่น่าแปลก ที่มันไม่ไวต่อการซักล้างเหมือนกับที่มันเปื้อนอะไรได้ง่ายๆ
วันนี้ผู้เขียนทักทายคนๆหนึ่ง คนที่ผู้เขียนรู้จักเมื่อจะว่านานก็ไม่ จะว่าไม่นานก็ไม่ใช่ แต่ก็ไม่ได้คุยกันมาหลายเดือนล่ะ ผลคือ เขาจำผู้เขียนไม่ได้ แต่นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ความทรงจำอื่นๆของผู้เขียนเริ่มเคลื่อนไหว...เบาๆ
หลังจากนั้นผู้เขียนล็อคอินเข้าเฟซบุ๊ค...อีกอันที่นานๆทีจะใช้มัน จะเรียกมันว่าที่แห่งความทรงจำก็เป็นได้... มีบางคนบอกว่า คนที่เราไม่พบกันสิบปี เจ้านี่ทำให้เราได้เจอกัน  สำหรับผู้เขียนแล้ว เชื่อว่า “มันก็แล้ว แต่คนจะใช้ ไม่ใช่เหรอ” ที่ๆรวมคนที่ผู้เขียนเคยรู้จัก
 “คนเรามีทางของตัวเอง” เป็นคำพูดติดปากของผู้เขียนคำพูดหนึ่ง  ผู้เขียนยังหาข้อแย้งคำพูดนี้ไม่ได้  ก็ยังเชื่อตามนี้
ก้าวทุกๆก้าวที่เราข้ามผ่านไป อดีตคือเบื้องหลังที่เราทิ้งไว้ คนเรามีทางของตัวเองก็จริงอยู่ แต่คนเราก็เดินบนแผ่นดินแผ่นเดียวกัน มีบ้างที่เส้นทางจะตัดกัน ทำให้ต้องเผชิญหน้า ต้องทำความรู้จักกัน มันเป็นอะไรที่ดูเหมือนสุ่มในบางครั้ง ถูกออกแบบไว้แล้วในบางที ก็สุดแล้วแต่เราจะมอง...
บางคนก็อยากจะลืมมันเสียจริง เจ้าสิ่งที่เรียกว่าความทรงจำนี่ อาจอ้างได้ว่า มันทำให้เราเจ็บปวด ทำให้เราเสียใจ “ก็ไม่มีใครชอบความเป็นจริงนี่น่า” ชีวิตกับความฝันขาดกันไม่ได้หรอก แต่เจ้าความทรงจำนี่ อาจทำให้เกิดความกลัวและปิดกั้นมันเอาไว้ วิธีที่เราจะลืมนั่น ผู้เขียนคงไม่รู้ อาจมีแค่เวลาเท่านั้นที่ทราบได้
“มันเป็นแค่ส่วนหนึ่ง ในชีวิตของเรา เมื่อเรายอมรับการมีอยู่ของมัน แล้วมันก็จะอยู่กับเราอย่างสงบสุข” นั่นแหละความทรงจำ
อาจมีบางคนบอกว่า ใช่สิ ผู้เขียนมีสิทธิ์อะไรมาบอกให้ยอมรับ มันเป็นไปไม่ได้
“ไม่มีสิทธิ์หรอก ก็แค่หนึ่งทางออก สำหรับผู้ท่องไปในกาลเวลา ก็แค่นั้นเอง”
*********
ขอให้มีความสุขกับความทรงจำครั้งเก่า และจงอย่าลืมว่า สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ คือการสร้างความทรงจำครั้งใหม่
บทความนี้อุทิศให้แก่บุคคลในความทรงจำ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต 

วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Republic of ไร้สาระ(มั้ง) ภาค 1!


เมื่อจะขอไร้สาระกับเขาซักวันหนึ่ง...เนาะ!
ภาคแรก! (เพราะว่ามั่นใจมาก ว่ามันจะมีภาคต่อ)
ก่อนเปิดเทอม 12 ชม. อ่า อันว่าตัวผู้เขียนนี่ก็พึ่งหายจากการเป็นไข้มาดๆ(เรียกว่าดีขึ้นคงไม่ผิดกฎหมาย) ไปตากแดดมา ว่างั้นเหอะ!
ตากทำไมน่ะเหรอ?... ไปยกเลิกบริการ ADSL (ก็เน็ตนั่นแหละ!) ของ TOT มาน่ะสิฮับ
แล้วทำไมต้องไปวันที่แดดโคตรแรง?... เพราะว่ามันกำลังจะหมดสัญญา(ทาสสส ..ออกเสียงลากยาวเลยนะเออ) 1ปี และตัวผู้เขียนนี่ก็ ไม่มั่นใจเลยว่ามันจะหมดวันไหน เลย(ตอนมีตังค์ชำระยอดค้าง)ไปจัดการให้มันเรียบร้อยครับ ก็เลยได้ฤกษ์ไปจัดการมันมา ไปถึง จ่ายบิลเสร็จปุ๊บ ก็เลยจะขอยกเลิก พี่พนักงานท่านก็ว่า โปรหมดวันที่ 31 นะคะ (นี่คือหน้าตาผู้เขียนขณะนั้น _I_)
อุสาห์หอบสังขารตากแดดไปเลยนะเออ สรุป...ต้องทำใจครับท่าน
แล้ว.....ถ้ายกเลิกก่อนหมดโปร(หรือหมดสัญญาล่ะ) ก็คือว่า คุณต้องจ่ายค่าปรับ เป็นค่าติดตั้ง 3350 บาท + ค่าเช่าเลขหมาย 1000 บาท และถ้าใช้บริการยังไม่ครบ 6 เดือน คุณต้องจ่ายค่าบริการ ให้ครบ 6 เดือน (ยังไงน่ะเหรอ โปรปัจจุบัน 7 เมก 590 อย่าไปเชื่อ มันคือ 731 บาท ครับผม  สมมุติว่า คุณใช้มา 3 เดือนแล้วเกิดไม่พอใจจะยกเลิก ด้วยเงื่อนไขข้อนี้ ทำให้ต้อง “จ่ายค่าบริการอีก สามเดือน  คือ 731*3 =?? เท่าไหนก็เท่านั้นแหละ +3350 +1000) << ตามนี้ ข้าน้อยถึงเรียกมันว่า สัญญาทาสสสสสสสสสส ไงครับผม
แล้วจะยกเลิกทำไมน่ะเหรอ บางทีก็ ความเร็วลดเอง (เอ่อ เข้าใจว่าแชร์แบนด์วิชนะเออ แต่เกินไป 7 เมก เหลือ 1.5 เมก แชร์แต่เวลาไม่มีคนใช้ มันก็ไม่ปรับขึ้นให้เองนะ!) หลุด ติดๆ ดับๆ DNS Error ยอมเลย ยอมล่ะ เวลาใช้ไม่ได้โทรเรียกช่างซ่อมนานเป็นเดือน แต่ตังค์ยังเสียเหมือนเดิม! (เฮ้อ ไทยแลนด์ซะอย่าง พี่โน้ตว่าไงนะ?? หนังยังมีแผ่นผี ทีลาวยังมีสามจี แต่ประเทศไทยนี้คงชาติหน้า... ท่าจะจริง)
เฮ้อ เซ็ง เครียด  เดี๋ยวไข้ขึ้น เลิกพูดเรื่องเน็ต ปวดประสาท
ปัจจุบันข้าน้อยใช้ CAT(สัญญา(ทาส)ยังเหมือนเดิมน้อ ภาวนาว่าอย่าเน่า อุสาห์เสียแพงกว่าค่ายอื่นนะเออ) น้อ ที่พิมพ์ๆบล็อก (บ่น บอกตรงๆ) ให้ท่านทั้งหลาย (มันจะมีไหม ไม่รู้สิ พอใจจะพิมพ์อ่ะ!) อ่านอยู่ล่ะครับเนี่ยย
วันหลังมาใหม่ เตรียมพบกัน ภาคต่อ ขอไม่คิดชื่อตอน 555
ขอฝันอันงดงามดุจนางฟ้าเทวดาอยู่กับทั้งคืน (เพราะความเป็นจริง + กลางวัน มันคงไม่มี! ฝันกลางวันเถอะแก)
:X

วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

มนุษย์ 2 ความเชื่อ 2/2


มนุษย์ 2 ความเชื่อ (Part 2/2)
Release Data 13/05/2555

 “เราถือว่าความจริงต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ประจักษ์แจ้งอยู่ในตัวเอง นั่นคือ มนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาอย่างเท่าเทียมกัน และพระผู้สร้างได้มอบสิทธิบางประการที่จะเพิกถอนมิได้ไว้ให้แก่มนุษย์ ในบรรดาสิทธิเหล่านั้นได้แก่ ชีวิต เสรีภาพและการเสาะแสวงหาความสุข
นี่คือข้อความบางส่วน  จากคำประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา ของ โทมัส เจฟเฟอร์สัน  จากข้อความนี้แสดงให้เห็นว่า อิสรภาพเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนปรารภนาและเป็นสิ่งที่พระเจ้าได้ประทานให้แก่เรา เหล่ามนุษย์ทั้งหลาย แน่นอนอย่างที่สุดปัจจุบันเราทั้งหลายอยู่ในโลกเสรี อิสรภาพของการคิด การกระทำ การพูด ที่อยู่ภายใต้ขอบเขตของกฎหมายที่ดูแลความสงบเรียบร้อยของสาธารณชน  อิสรภาพเหล่านั้นมีจริงหรือ?
หลายวันก่อน ผู้เขียนได้รับฟังเรื่องการทะเลาะกันของเหล่าสาวกอุปกรณ์ไร้สายสองค่าย ว่าด้วยเรื่องโปรแกรมประยุกต์เกี่ยวกับรูปถ่ายตัวหนึ่ง เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า ก่อนหน้านี้เจ้าโปรแกรมตัวนี้ ใช้งานอยู่ระบบปฏิบัติการ iOS ของบริษัท Apple ต่อมาได้มีการขยายการรองรับ ให้สามารถใช้งานได้บนระบบปฏิบัติการ android ของ google ความต่างของสองระบบปฏิบัติการนี่คือ iOS เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของ apple Inc. ส่วน android เป็น open source (ซอฟแวร์เสรี ที่เปิดให้สามารถนำไปใช้งานได้ฟรี ) iOS จึงเป็นอะไรที่ทำงานอยู่บนอุปกรณ์ของ apple เท่านั้น (แน่นอน ราคาครับท่าน)  ส่วน android มีให้ใช้ตั้งอุปกรณ์โมบายจากจีนที่ราคาไม่ถึง 3000 บาท จนไปถึงอุปกรณ์ระดับเดียวกันกับ apple    ที่มีค่าตัวระดับหลายหมื่นบาท  ทีนี้ เมื่อมีโปรแกรมประยุกต์ (เรียกง่ายๆว่า app หรือ application นั่นแหละ)  ตัวหนึ่ง(ซึ่งมันก็ดังพอดูนะ)  เกิดอยากขยายฐานการตลาดไปสู่ผู้ใช้ระดับที่หลากหลาย  เป็นไปได้ว่า เหล่า user ของ apple อาจออกอาการแบบว่า “ไรฟะ! นี่มันคนละระดับกัน (แบบ เหมือนแต่ก่อน เจ้า app ตัวนี้ ใครใช้ ก็คือผู้ใช้ apple เท่านั้น) เอาไปปล่อยให้ใช้ได้ไง!” ดังนี้แล  ร่ายมาซะยาวหลายคนอาจถามว่า แล้วมันเกี่ยวกับอะไรกับ อิสรภาพ กับ ความเชื่อ  เกี่ยวแน่นอนเลยครับ  สาเหตุที่มีการทะเลาะกันเกิดขึ้นก็เพราะว่า เกิดการแบ่งแยกชนชั้นของระบบปฏิบัติการระหว่างผู้ใช้ด้วยกันเอง iOs เป็นชนชั้นหนึ่ง android เป็นชนชั้นหนึ่ง (เป็นไปได้ว่า ผู้ใช้ของ apple อาจคิดว่าตนเองเหนือกว่า ด้วยเหตุผลประการทั้งปวง ซึ่งผมไม่ทราบ  - - ก็ไม่ได้ใช้นี่) เพราะความเชื่อครับ เชื่อว่าตัวเองดีกว่า เชื่อว่าตัวเองอยู่สูงกว่า ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้ว ความเชื่อดังกล่าวอาจไม่เป็นจริง ยกตัวอย่างเช่นเรื่องราคา หากเรามองจากขั้นต่ำ อุปกรณ์ของ apple มีราคาขั้นต่ำที่หลักหมื่นบาท อุปกรณ์ android มีราคาขั้นต่ำที่ สามพันบาท หากนำจุดนี้ไปเป็นข้อพิสูจน์ว่า สมควรบอกว่า apple เป็นแบร์นที่มีศักดิ์ศรี หรือชนชั้นที่เหนือกว่า (อาจรวมไปถึงชนชั้นของผู้ใช้ด้วย) android สูไม่ได้แน่นอนครับ แต่หากเรามองไปที่ราคาสูงสุดของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ จะพบว่าไม่มีความแตกต่างกันเลย ดังนั้นหากพิจารณาด้วยความเป็นกลาง เรื่องของราคาจึงไม่สมควรที่จะนำมาแบ่งแยกชนชั้นของผลิตภัณฑ์เหล่านี้เลย  แต่ด้วยความเชื่อนี้จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการแบ่งแยกและทะเลาะกันดังกล่าวขึ้น  ดังนี้แล้วเราจักเห็นว่า ความเชื่อส่งผลต่อเราอย่างไร แต่...นี่ยังเป็นแค่จุดเล็กๆ เชื่อไหมว่า ความเชื่อสามารถลดทอนหรือทำลายอิสรภาพของคุณได้เลยทีเดียว อิสรภาพที่คุณแสวงหา ที่คุณปรารภนา อาจกำลังถูกครอบงำด้วยบางสิ่ง เหมือนเหล่าผู้ที่ทะเลาะกันเพราะราคาแท็ปแล็ต หาใช่เพราะ แอปพิเคชั่น...
อย่างไรน่ะเหรอ ติดตามต่อ ตอนต่อไป
มนุษย์ 3 อิสรภาพ....