วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

ต่อไปนี้คือบทสนทนาหนึ่ง ในค่ำคืนที่คาดคิดไว้แล้ว

T.: ไพร์ นายพอได้แล้วนะ เราขอร้อง
P: พออะไรเหรอ
T: สิ่งที่นายกำลังทำอยู่ๆ นายหยุดซะเถอะ
P: ลูกผู้ชายพูดแล้วต้องทำได้ เสียชีพอย่าเสียสัตย์
T:แล้วนายคิดว่า นายทำดีแล้วเหรอ ฉันว่ามันไม่ดีกับใครเลยนะ
P:ฉันทำดีแล้ว และจะทำให้ถึงที่สุด
T:ฉันว่ามันไม่มีทางถึงที่สุด เพราะนายกำลัง ฉันควรพูดกับนายตรงๆ นายมันบ้าไปแล้ว
P:โทดทีนะเพื่อน ฉันบ้านานแล้ว
T: นายควรทำเรื่องที่ควรทำนะ ฉันขอบอกว่า นายควรทำเรื่องที่เป็นไปได้สักที นายบ้ามาพอแล้ว
รู้ไหมสิบครั้งที่นาย ผิดหวัง ก็เพราะเรื่องบ้าๆ นายทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ นายคิดว่าตัวเองทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ นายได้เวลาตื่นมาในโลกแล้วล่ะ
P: ฉันรู้ ฉันอาจใจรัก ทุกๆวัน ฉันนึกภาพว่าตัวเองเดินทางคนเดียว ไปไหนมาไหนคนเดียว ทำโน้นทำนี่คนเดียว ฉันเคยทำมัน ฉันไม่ฝันมากไปหรอก นายวางใจเถอะ ฉันรู้ว่าฉันทำอะไร
T: แต่ที่นายทำขัดกับที่นายพูด อย่างชัดๆเลย ที่นายกำลังพูดกับฉัน ฉันก็คือตัวนายเอง นายก็คือร่างดรีมของฉัน แล้วนายกำลังพูดกับใคร นายรู้ว่านายทำอะไรใช่ไหม นายดูตัวเองสิ อ่อนแอยังกะอะไร ฮ่าๆๆเหลือเชื่อไหม คนที่ไม่เคยแม้แต่จะยอมก้มหัวให้ใคร อย่างนายเนี่ย
P:ฉันกำลังพูดกับจิตสำนึกตัวเอง แต่ดูเหมือนโมหะจะรุนแรงเหลือเกิน ฉันมองไม่เห็นว่าเขาพูดผิด หรือถูก
T:ฉันไม่รบรั้งให้นายเลิกแล้วล่ะ ฉันเชื่อนาย แต่นายก็ควรเผื่อใจไว้บ้าง อะไรมันก็เกิดขึ้น เพราะแฉันและนายคาดการณ์ประโยคหนึ่งไว้ว่า "เธอควรแยกแยะจริงฝันนะ คุณภาพฝัน อย่ามายุ่งกับชีวิตจริงๆ"
P:ฉันรู้ๆ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ใจคนเราเอาแน่นอนไม่ได้หรอก โดยเฉพาะกับคนที่ไม่เคยเห็นเราในสายตา เราเชื่อย่างนั้นะ ฮ่าๆๆ ไม่มีอะไรจริงหรอก แม้สังคมที่เจอทุกๆวันยังจริงไม่ได้ จะมาเอาอะไรกับความฝัน ฉันเพียงแค่สงสัยว่า ตอนนี้ฉันฝันหรืออยู่รึเปล่า ฉันจึงทำตามใจลิขิต อย่างๆน้อยๆ ถ้าเป็นฝันเมื่อฉันตื่น ฉันก็ภูมิใจว่า ฝันนี้ชั่วนิรันดร์
P:ฉันเชื่อนาย เพราะนายคือฉัน ฉันก็คือนาย

วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554

หนึ่งคนหนึ่งหนทางกับทรายหนึ่งกอบท่ามกลางทุ่งทราย

ขณะที่เดินอยู่ท่ามกลางถนนสายยาวแห่งความหวัง ตัดผ่านทะเลทรายที่อ้างว้าง  แสงแดดสาดส่องกระทบผืนแผ่นดินร้อนระอุ  ความเงียบสงบปกคลุม สายลมหอบพัดพาเอาฝุ่นฝุ้งกระจายไปทั่วทุ่งทรายกว้างใหญ่ ทางสายนี้ยังอีกยาวไกล...
ดึกแล้วหนอ ดึกแล้ว สองนาฬิกา วันหนึ่ง  แสงดาวพราวพร่างฟ้า เสียงจิ้งหรีดเรไรปะทะกับเสียงลมหวน ชายคนหนึ่ง กำลังเดินอยู่บนถนนสายหนึ่ง ความหนาวเหน็บแผ่เข้าปกคลุ่มร่างนั้น น้ำค้างพรมลงมาจากฟ้า ทันใดนั้น มีเสียงจากกลางท้องทุ้งทราย ไม่อาจทราบ... กล่าวขึ้นลอยๆว่า "เจ้าจงลืมความหนาว แล้วเจ้าจะไม่หนาว" ชายคนนั้นคลี่ยิ้มจางๆ เขากล่าวตอบไปว่า "ท่านไม่หนาวหรอกหรือ ข้าพเจ้าเองก็ไม่หนาว แต่ข้าพเจ้าว่า การลืมไม่ได้ช่วยอะไร หรือน้อมรับว่ามันมีอยู่ล่ะ ช่วยอะไร เพียงแค่รู้หนึ่งว่าเป็นส่วนหนึ่งของมัน กระนั้นหรือ"เสียงจากทุ่งทราย ไม่ได้กล่าวตอบอะไร ชายคนนั้นรู้ดีว่า เขาตอบ ไม่ได้อย่างที่เสียงลึกลับนั้นต้องการคำตอบ เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าหมายความว่าอย่างไร แต่เขาคิดว่า สักวันหนึ่ง ข้าพเจ้าเองก็คงจะเข้าใจ เขายังคงเดินอยู่บนเส้นทางที่ทอดยาวผ่านทุ่งทรายผืนกว้าง ไม่รู้ว่ามันจะสิ้นสุด ณ แห่งหนใด แต่เขายังเดินอยู่ และเดินต่อไป....ความสงัดเข้ามาปกคลุมอีกครั้ง เขาก้มลงไปกอบทรายมาหนึ่งกำมือ แล้วพูดกับทรายว่า" ทรายจ๋า แม้ข้าพเจ้าเอง ไม่อาจนับเธอได้ว่ามีกี่เม็ด มีอะไรปะปนในตัวของเธอบ้าง แต่ในสายตาของข้าพเจ้า เธอก็คือทรายกอบหนึ่ง ถ้าข้าพเจ้าปล่อยเธอกลับสู่ผืนทราย เธอก็เปลี่ยนจากทรายกอบหนึ่ง เป็นหนึ่งในหมู่ทราย ในท้องทุ่งกว้าง ข้าพเจ้าเองก็ไม่ใช่ไม่อยากรู้ว่าทรายในทุ้งทรายแห่งนี้มีกี่เม็ด อย่ากระนั้นเลย แม้ทรายในกอบมือเดียวนี้ ข้าพเจ้ายังล่วงรู้มิได้ จะรู้ถึงเม็ดแห่งทรายทั้งทุ่งได้อย่างไรกัน"
ดั่งเส้นทางที่ข้าพเจ้าก้าวเดินอยู่ตรงนี้ ข้าพเจ้าไม่ทราบแน่ว่าอีกนานแค่ไหนมันจะสิ้นสุดลง แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่า ข้าพเจ้าได้เดินอยู่ในทางที่ข้าพเจ้าเลือกเอง แม้ไม่อาจรู้ว่าสิ้นสุดแห่งหนใด แต่ตราบใดที่ยังเดินอยู่ ข้าพเจ้าก็ยังเป็นหนึ่งเดียวกับทางสายนี้ เหมือนประหนึ่ง ทรายหนึ่งกอบในทุ่งทรายกว้าง สายลมพัดพาไป แรงบัลดาลใจ ศรัทธาและความหวัง ช่วยให้คุณก้าวเดิน....คุณอาจต้องการรู้และเข้าใจทุกๆเรื่อง คุณอาจอยากรู้ว่าการที่เข้าใจทุกๆเรื่องเป็นอย่างไรกัน จะดีแค่ไหน จะเลวร้ายแค่ไหน....
"เมื่อคุณพยายามจะไม่เชื่อว่าตัวเองไม่มีจิตใจ คำว่าทำไม เพราะอะไรเกิดขึ้นในห้วงความคิดของคุณ มันดูว่างเปล่า คุณเพียงแค่อยากสลัดมันออกไปเท่านั้น แต่ ผมเสียใจที่ไม่อาจช่วยอะไรได้ เปรียบกับคนที่กอบทราย ไม่รู้ว่าเม็ดทรายอยากให้เขานับเม็ดทรายในกอบนั้นได้ไหม แต่ชายคนนั้นก็รู้ว่า เขาอยากรู้ ก็เพียงเท่านั้น"