วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ชีวะพันธุ์แห่งความรู้สึก:ปฐมบทแห่งการเริ่มต้น


ใครคนหนึ่งบอกให้ผมฟังเพลงๆหนึ่ง ห้ารอบ แต่จนบัดนี้ผมฟังแล้วกว่าห้าสิบรอบ ไม่ใช่เพราะผมชอบเพลงๆนั้นหรอกอาจชอบคนที่บอกให้ผมฟังมันมากกว่า
ค่ำคืนที่มืดมิดมักจะยาวนานกว่าจริงหรือ?  ไม่แน่หรอกนะ มันอาจจะยาวเท่ากันก็เป็นได้ คืนนี้ก็เช่นกัน เป็นคืนที่มืดมิดและเงียบสงบ ไร้แสงจากดวงดาวใดๆ ผมนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นกิจวัตรของผม วันนี้ก็คงจะเหมือนทุกๆวัน เรียน  เล่น หลับ สามคำ สำหรับชีวิตในแบบแผนของเยาวชนไทยหลายๆคน
ดึกแล้ว...สิ่งที่อยู่เป็นเพื่อนผมคือเสียงเพลงเพลงหนึ่ง คงเป็นอะไรที่ช่วยสร้างบรรยากาศสร้างความเพลิดเพลินในคืนเงียบๆเช่นนี้
ไม่มีอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้หรอกนะ ที่ผมจะพูดวันนี้
..........
ความรัก คำสั้นๆ คำง่ายๆ ที่มีความหมายนับไม่ถ้วน สุดแต่คุณจะนึกจินตภาพออก มีคู่รักหลายคู่บอกว่า พอเรารักกันแล้ว อย่าพูดคำว่ารัก บ่อยๆนะ มันจะทำให้คุณค่าของมันลดลง ผมไม่ออกความเห็นเรื่องนี้หรอกนะ มันแล้วแต่คุณจะนึกว่าความรักของคุณหมายถึงอะไร ^ ^
ความรัก เป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์แห่งความรู้สึกที่มีถิ่นอาศัยในมโนสำนึกของคนเรา เป็นอะไรที่ละเอียดอ่อน เข้าใจยาก ปลูกยาก ดูแลรักษายาก แต่ก็เป็นความปรารภนาของใครหลายๆคนที่จะมีมันไว้ในครอบครอง
ถ้าคุณรักใครซักคน ก็จะมีเมล็ดพันธุ์หนึ่งเมล็ดที่เนรมิตตัวเองขึ้นมา ให้คุณนำไปปลูกหว่านไว้ในใจ
ว่าแต่จะปลูกไว้ในใจของใครดีละ...
คนส่วนใหญ่มักจะเอามันไปปลูกไว้ในใจของคนที่ตนเองรัก หวังว่าเขาจะดูแลทะนุถนอมมันอย่างดี
แต่....
เมื่อมีใครซักคนอยู่ในฐานะที่ไม่อาจทำอย่างนั้นได้
เขาปลูกมันไว้ในใจของเขา ดูแลให้มันเติบโตงอกงาม บัดนี้ มันออกผลแล้วละ เขาถือผลของต้นรักนี้ ไปอวดคนที่เขารัก และแบ่งมันกับหล่อน สุดท้ายแล้ว ก็เหลือเพียงเมล็ดพันธุ์เช่นเดิม
เมล็ดพันธุ์หนึ่งเมล็ด ที่สามารถออกผลหนึ่งผลได้เช่นเดิม แต่ถ้าหากไม่ปลูก ก็คงไม่เกิด
บัดนี้แล้ว เขาจะปลูกมันที่ไหนดี
เขาตัดสินใจทำสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำ ปลูกมันลงไปในใจของคนที่เขารัก การตัดสินใจของเขาครั้งนี้ คือความเสี่ยงอย่างยิ่ง เพราะครานี้ มันไม่ได้อยู่บนใจของเขาเอง...
หลังจากปลูกมันลงไป เธอผู้เป็นที่รักของเขาก็ได้บอกบางอย่างกับเขา
“ครั้งหนึ่ง เคยมีเมล็ดพันธุ์ที่เป็นของคุณหว่านลงตรงนี้ บัดนี้ต้นนั้นมันตายแล้ว และตอนนี้ก็มีต้นไม้ต้นอื่นขึ้นแทนที่มันอยู่แล้ว แต่เอาเถิด ก็คุณได้ปลูกแล้วนี้ เราจะช่วยกันดูแลให้มันเติบโตนะ”
เขาพูดออกมาเบาๆว่า เป็นอย่างที่คิดจริงๆด้วย นี่แหละนะถึงเป็นสาเหตุที่ผมปลูกมันไว้ในใจตัวเอง
แต่เอาเถิดผมไม่เสียใจหรอกที่ทำแบบนี้ ผมก็อยากจะรู้ว่า ผมจะสามารถดูแลมันได้ดีจริงๆหรือไม่   
คุณคิดว่าเขาทำได้ไหม....

วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เชื่อสิ บางทีคุณก็ไม่อยากมีความทรงจำมากดีนักหรอกนะ


เชื่อสิ บางทีคุณก็ไม่อยากมีความทรงจำมากดีนักหรอกนะ.....

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า...นามธรรมที่มีผลต่อชีวิตของเรามากที่สุดอย่างหนึ่ง ก็คือ ความทรงจำ สิ่งนี้เปรียบเสมือนผ้าขาว ที่บริสุทธิ์และไวต่อการสัมผัส ไม่ว่ามันจะสัมผัสถูกสีอะไร ถูกฝุ่น หรืออื่นๆ แต่น่าแปลก ที่มันไม่ไวต่อการซักล้างเหมือนกับที่มันเปื้อนอะไรได้ง่ายๆ
วันนี้ผู้เขียนทักทายคนๆหนึ่ง คนที่ผู้เขียนรู้จักเมื่อจะว่านานก็ไม่ จะว่าไม่นานก็ไม่ใช่ แต่ก็ไม่ได้คุยกันมาหลายเดือนล่ะ ผลคือ เขาจำผู้เขียนไม่ได้ แต่นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ความทรงจำอื่นๆของผู้เขียนเริ่มเคลื่อนไหว...เบาๆ
หลังจากนั้นผู้เขียนล็อคอินเข้าเฟซบุ๊ค...อีกอันที่นานๆทีจะใช้มัน จะเรียกมันว่าที่แห่งความทรงจำก็เป็นได้... มีบางคนบอกว่า คนที่เราไม่พบกันสิบปี เจ้านี่ทำให้เราได้เจอกัน  สำหรับผู้เขียนแล้ว เชื่อว่า “มันก็แล้ว แต่คนจะใช้ ไม่ใช่เหรอ” ที่ๆรวมคนที่ผู้เขียนเคยรู้จัก
 “คนเรามีทางของตัวเอง” เป็นคำพูดติดปากของผู้เขียนคำพูดหนึ่ง  ผู้เขียนยังหาข้อแย้งคำพูดนี้ไม่ได้  ก็ยังเชื่อตามนี้
ก้าวทุกๆก้าวที่เราข้ามผ่านไป อดีตคือเบื้องหลังที่เราทิ้งไว้ คนเรามีทางของตัวเองก็จริงอยู่ แต่คนเราก็เดินบนแผ่นดินแผ่นเดียวกัน มีบ้างที่เส้นทางจะตัดกัน ทำให้ต้องเผชิญหน้า ต้องทำความรู้จักกัน มันเป็นอะไรที่ดูเหมือนสุ่มในบางครั้ง ถูกออกแบบไว้แล้วในบางที ก็สุดแล้วแต่เราจะมอง...
บางคนก็อยากจะลืมมันเสียจริง เจ้าสิ่งที่เรียกว่าความทรงจำนี่ อาจอ้างได้ว่า มันทำให้เราเจ็บปวด ทำให้เราเสียใจ “ก็ไม่มีใครชอบความเป็นจริงนี่น่า” ชีวิตกับความฝันขาดกันไม่ได้หรอก แต่เจ้าความทรงจำนี่ อาจทำให้เกิดความกลัวและปิดกั้นมันเอาไว้ วิธีที่เราจะลืมนั่น ผู้เขียนคงไม่รู้ อาจมีแค่เวลาเท่านั้นที่ทราบได้
“มันเป็นแค่ส่วนหนึ่ง ในชีวิตของเรา เมื่อเรายอมรับการมีอยู่ของมัน แล้วมันก็จะอยู่กับเราอย่างสงบสุข” นั่นแหละความทรงจำ
อาจมีบางคนบอกว่า ใช่สิ ผู้เขียนมีสิทธิ์อะไรมาบอกให้ยอมรับ มันเป็นไปไม่ได้
“ไม่มีสิทธิ์หรอก ก็แค่หนึ่งทางออก สำหรับผู้ท่องไปในกาลเวลา ก็แค่นั้นเอง”
*********
ขอให้มีความสุขกับความทรงจำครั้งเก่า และจงอย่าลืมว่า สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ คือการสร้างความทรงจำครั้งใหม่
บทความนี้อุทิศให้แก่บุคคลในความทรงจำ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต 

วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Republic of ไร้สาระ(มั้ง) ภาค 1!


เมื่อจะขอไร้สาระกับเขาซักวันหนึ่ง...เนาะ!
ภาคแรก! (เพราะว่ามั่นใจมาก ว่ามันจะมีภาคต่อ)
ก่อนเปิดเทอม 12 ชม. อ่า อันว่าตัวผู้เขียนนี่ก็พึ่งหายจากการเป็นไข้มาดๆ(เรียกว่าดีขึ้นคงไม่ผิดกฎหมาย) ไปตากแดดมา ว่างั้นเหอะ!
ตากทำไมน่ะเหรอ?... ไปยกเลิกบริการ ADSL (ก็เน็ตนั่นแหละ!) ของ TOT มาน่ะสิฮับ
แล้วทำไมต้องไปวันที่แดดโคตรแรง?... เพราะว่ามันกำลังจะหมดสัญญา(ทาสสส ..ออกเสียงลากยาวเลยนะเออ) 1ปี และตัวผู้เขียนนี่ก็ ไม่มั่นใจเลยว่ามันจะหมดวันไหน เลย(ตอนมีตังค์ชำระยอดค้าง)ไปจัดการให้มันเรียบร้อยครับ ก็เลยได้ฤกษ์ไปจัดการมันมา ไปถึง จ่ายบิลเสร็จปุ๊บ ก็เลยจะขอยกเลิก พี่พนักงานท่านก็ว่า โปรหมดวันที่ 31 นะคะ (นี่คือหน้าตาผู้เขียนขณะนั้น _I_)
อุสาห์หอบสังขารตากแดดไปเลยนะเออ สรุป...ต้องทำใจครับท่าน
แล้ว.....ถ้ายกเลิกก่อนหมดโปร(หรือหมดสัญญาล่ะ) ก็คือว่า คุณต้องจ่ายค่าปรับ เป็นค่าติดตั้ง 3350 บาท + ค่าเช่าเลขหมาย 1000 บาท และถ้าใช้บริการยังไม่ครบ 6 เดือน คุณต้องจ่ายค่าบริการ ให้ครบ 6 เดือน (ยังไงน่ะเหรอ โปรปัจจุบัน 7 เมก 590 อย่าไปเชื่อ มันคือ 731 บาท ครับผม  สมมุติว่า คุณใช้มา 3 เดือนแล้วเกิดไม่พอใจจะยกเลิก ด้วยเงื่อนไขข้อนี้ ทำให้ต้อง “จ่ายค่าบริการอีก สามเดือน  คือ 731*3 =?? เท่าไหนก็เท่านั้นแหละ +3350 +1000) << ตามนี้ ข้าน้อยถึงเรียกมันว่า สัญญาทาสสสสสสสสสส ไงครับผม
แล้วจะยกเลิกทำไมน่ะเหรอ บางทีก็ ความเร็วลดเอง (เอ่อ เข้าใจว่าแชร์แบนด์วิชนะเออ แต่เกินไป 7 เมก เหลือ 1.5 เมก แชร์แต่เวลาไม่มีคนใช้ มันก็ไม่ปรับขึ้นให้เองนะ!) หลุด ติดๆ ดับๆ DNS Error ยอมเลย ยอมล่ะ เวลาใช้ไม่ได้โทรเรียกช่างซ่อมนานเป็นเดือน แต่ตังค์ยังเสียเหมือนเดิม! (เฮ้อ ไทยแลนด์ซะอย่าง พี่โน้ตว่าไงนะ?? หนังยังมีแผ่นผี ทีลาวยังมีสามจี แต่ประเทศไทยนี้คงชาติหน้า... ท่าจะจริง)
เฮ้อ เซ็ง เครียด  เดี๋ยวไข้ขึ้น เลิกพูดเรื่องเน็ต ปวดประสาท
ปัจจุบันข้าน้อยใช้ CAT(สัญญา(ทาส)ยังเหมือนเดิมน้อ ภาวนาว่าอย่าเน่า อุสาห์เสียแพงกว่าค่ายอื่นนะเออ) น้อ ที่พิมพ์ๆบล็อก (บ่น บอกตรงๆ) ให้ท่านทั้งหลาย (มันจะมีไหม ไม่รู้สิ พอใจจะพิมพ์อ่ะ!) อ่านอยู่ล่ะครับเนี่ยย
วันหลังมาใหม่ เตรียมพบกัน ภาคต่อ ขอไม่คิดชื่อตอน 555
ขอฝันอันงดงามดุจนางฟ้าเทวดาอยู่กับทั้งคืน (เพราะความเป็นจริง + กลางวัน มันคงไม่มี! ฝันกลางวันเถอะแก)
:X

วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

มนุษย์ 2 ความเชื่อ 2/2


มนุษย์ 2 ความเชื่อ (Part 2/2)
Release Data 13/05/2555

 “เราถือว่าความจริงต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ประจักษ์แจ้งอยู่ในตัวเอง นั่นคือ มนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาอย่างเท่าเทียมกัน และพระผู้สร้างได้มอบสิทธิบางประการที่จะเพิกถอนมิได้ไว้ให้แก่มนุษย์ ในบรรดาสิทธิเหล่านั้นได้แก่ ชีวิต เสรีภาพและการเสาะแสวงหาความสุข
นี่คือข้อความบางส่วน  จากคำประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา ของ โทมัส เจฟเฟอร์สัน  จากข้อความนี้แสดงให้เห็นว่า อิสรภาพเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนปรารภนาและเป็นสิ่งที่พระเจ้าได้ประทานให้แก่เรา เหล่ามนุษย์ทั้งหลาย แน่นอนอย่างที่สุดปัจจุบันเราทั้งหลายอยู่ในโลกเสรี อิสรภาพของการคิด การกระทำ การพูด ที่อยู่ภายใต้ขอบเขตของกฎหมายที่ดูแลความสงบเรียบร้อยของสาธารณชน  อิสรภาพเหล่านั้นมีจริงหรือ?
หลายวันก่อน ผู้เขียนได้รับฟังเรื่องการทะเลาะกันของเหล่าสาวกอุปกรณ์ไร้สายสองค่าย ว่าด้วยเรื่องโปรแกรมประยุกต์เกี่ยวกับรูปถ่ายตัวหนึ่ง เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า ก่อนหน้านี้เจ้าโปรแกรมตัวนี้ ใช้งานอยู่ระบบปฏิบัติการ iOS ของบริษัท Apple ต่อมาได้มีการขยายการรองรับ ให้สามารถใช้งานได้บนระบบปฏิบัติการ android ของ google ความต่างของสองระบบปฏิบัติการนี่คือ iOS เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของ apple Inc. ส่วน android เป็น open source (ซอฟแวร์เสรี ที่เปิดให้สามารถนำไปใช้งานได้ฟรี ) iOS จึงเป็นอะไรที่ทำงานอยู่บนอุปกรณ์ของ apple เท่านั้น (แน่นอน ราคาครับท่าน)  ส่วน android มีให้ใช้ตั้งอุปกรณ์โมบายจากจีนที่ราคาไม่ถึง 3000 บาท จนไปถึงอุปกรณ์ระดับเดียวกันกับ apple    ที่มีค่าตัวระดับหลายหมื่นบาท  ทีนี้ เมื่อมีโปรแกรมประยุกต์ (เรียกง่ายๆว่า app หรือ application นั่นแหละ)  ตัวหนึ่ง(ซึ่งมันก็ดังพอดูนะ)  เกิดอยากขยายฐานการตลาดไปสู่ผู้ใช้ระดับที่หลากหลาย  เป็นไปได้ว่า เหล่า user ของ apple อาจออกอาการแบบว่า “ไรฟะ! นี่มันคนละระดับกัน (แบบ เหมือนแต่ก่อน เจ้า app ตัวนี้ ใครใช้ ก็คือผู้ใช้ apple เท่านั้น) เอาไปปล่อยให้ใช้ได้ไง!” ดังนี้แล  ร่ายมาซะยาวหลายคนอาจถามว่า แล้วมันเกี่ยวกับอะไรกับ อิสรภาพ กับ ความเชื่อ  เกี่ยวแน่นอนเลยครับ  สาเหตุที่มีการทะเลาะกันเกิดขึ้นก็เพราะว่า เกิดการแบ่งแยกชนชั้นของระบบปฏิบัติการระหว่างผู้ใช้ด้วยกันเอง iOs เป็นชนชั้นหนึ่ง android เป็นชนชั้นหนึ่ง (เป็นไปได้ว่า ผู้ใช้ของ apple อาจคิดว่าตนเองเหนือกว่า ด้วยเหตุผลประการทั้งปวง ซึ่งผมไม่ทราบ  - - ก็ไม่ได้ใช้นี่) เพราะความเชื่อครับ เชื่อว่าตัวเองดีกว่า เชื่อว่าตัวเองอยู่สูงกว่า ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้ว ความเชื่อดังกล่าวอาจไม่เป็นจริง ยกตัวอย่างเช่นเรื่องราคา หากเรามองจากขั้นต่ำ อุปกรณ์ของ apple มีราคาขั้นต่ำที่หลักหมื่นบาท อุปกรณ์ android มีราคาขั้นต่ำที่ สามพันบาท หากนำจุดนี้ไปเป็นข้อพิสูจน์ว่า สมควรบอกว่า apple เป็นแบร์นที่มีศักดิ์ศรี หรือชนชั้นที่เหนือกว่า (อาจรวมไปถึงชนชั้นของผู้ใช้ด้วย) android สูไม่ได้แน่นอนครับ แต่หากเรามองไปที่ราคาสูงสุดของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ จะพบว่าไม่มีความแตกต่างกันเลย ดังนั้นหากพิจารณาด้วยความเป็นกลาง เรื่องของราคาจึงไม่สมควรที่จะนำมาแบ่งแยกชนชั้นของผลิตภัณฑ์เหล่านี้เลย  แต่ด้วยความเชื่อนี้จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการแบ่งแยกและทะเลาะกันดังกล่าวขึ้น  ดังนี้แล้วเราจักเห็นว่า ความเชื่อส่งผลต่อเราอย่างไร แต่...นี่ยังเป็นแค่จุดเล็กๆ เชื่อไหมว่า ความเชื่อสามารถลดทอนหรือทำลายอิสรภาพของคุณได้เลยทีเดียว อิสรภาพที่คุณแสวงหา ที่คุณปรารภนา อาจกำลังถูกครอบงำด้วยบางสิ่ง เหมือนเหล่าผู้ที่ทะเลาะกันเพราะราคาแท็ปแล็ต หาใช่เพราะ แอปพิเคชั่น...
อย่างไรน่ะเหรอ ติดตามต่อ ตอนต่อไป
มนุษย์ 3 อิสรภาพ....
                                                       

วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

มนุษย์ 2 ความเชื่อ 1/2


มนุษย์ 2 ความเชื่อ {Part 1/2}
Release Data: 08/05/2012


“ความเชื่อ” เป็นสิ่งที่ติดตัวมนุษย์ทั้งหลายว่าตั้งแต่รู้ความแล้ว จะว่าไปก็คงมาตั้งแต่เกิด เราบางคนก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกความเชื่อได้โดยอิสระ บางคนก็ไม่มีสิทธิ์ แต่บางคนก็ไม่รู้ว่ามันต่างกันอย่างไร สำหรับบางคน ความเชื่อเป็นของศาสนา วัฒนธรรมประเพณี สำหรับบางคน ความเชื่อคือกลไกในการขับเคลื่อนชีวิต สำหรับบางคน ความเชื่อคือจิตวิญญาณ
ในทางศาสนา ศาสนิกชนถูกแบ่งออกเป็นสองประเภทคือ
1.ศรัทธาชน บุคคลหรือกลุ่มบุคคลหนึ่งใด ผู้มีความเชื่อมั่นใจ มีความเคารพนับถือยำเกรง ทำใจให้เลื่อมใส ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อาจเป็น บุคคล อุดมคติทางการเมือง หรือศาสนา
2.ปัญญาชน บุคคลหรือกลุ่มบุคคล ผู้มีความเชื่อมั่นทางใจ ความนับถือ เคารพ ยำเกรงหรือไม่ก็ตาม เหล่านี้เป็นผู้พิจารณาและแสวงหาความจริงให้แก่สิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สิ่งที่ตนเองเชื่อ มักไม่ปักใจเชื่อในสิ่งใดสิ่งหนึ่งในทันที แต่มักจะพิจารณาและปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ความเป็นจริงของสิ่งนั้นก่อนที่จะเชื่อถือ มีภาวะเป็น “ผู้ศึกษา(studied)”
ในปัจจุบันบุคคลในสังคมส่วนใหญ่มีความเห็นว่า ความเชื่อ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการยึดเหนียวทางใจ และมักนึกถึงศาสนา แต่น้อยคนนักที่จะทราบว่าทุกลมหายใจของเขาและเราท่านทั้งหลายประกอบด้วยความเชื่อ เราจะมาดูกันว่าความเชื่ออยู่กับลมหายใจของเราได้อย่างไร
ครั้งหนึ่งผู้เขียนได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ ไร้สาระนุกรมไทย(th.uncycopedia.com) สำหรับมุมมองของบางท่านบางคนอาจจะคิดว่า เป็นที่เสื่อมๆ สำหรับคนที่เกรียนที่ไว้ใช้ล้อเลียน วิกิพีเดีย เว็บไซต์สารานุกรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก หากจะถามว่ามันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ก็คงเป็นคำว่าศาสนา ที่นั่นมีศาสนาเยอะมาก ไม่ว่าจะไม่เป็น ศาสนาโอตาคุ   ศาสนาโดเรมอน เหล่านี้  หมายถึงกลุ่มบุคคลผู้คลั่งไคล้การ์ตูน แม้ว่านิยามของคำว่า ศาสนา ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน จะหมายถึง ลัทธิความเชื่อของมนุษย์อันมีหลัก คือ แสดงกำเนิดและความสิ้นสุดของโลก เป็นต้น อันเป็นไปในฝ่าย ปรมัถต์ประการหนึ่ง แสดงหลักธรรมเกี่ยวกับบุญบาป อันเป็นไปในฝ่ายศีลธรรมประการหนึ่ง พร้อมทั้งลัทธิพิธีที่กระทำตามความเห็น หรือตามคำสั่งสอนในความเชื่อนั้น ๆแต่ ถ้าเรามองไปถึงรากศัพท์แล้ว ศาสนา มาจากศัพท์บาลีที่ว่า สาสน ที่แปลว่า ความผูกพัน ความสัมพันธ์ หากเป็นเช่นนั้นจริง การจะเรียกกลุ่มบุคคลที่คลั่งไคล้การ์ตูน ว่าเป็นศาสนา ก็คงไม่ผิดนัก ตอนนี้เราจะเห็นได้ว่าศาสนาไม่ใช่ความเชื่อเสมอไป สอดคล้องกับ ศาสนิกชนสองประเภทซึ่งประเภทที่สองจะมีความเชื่อหรือไม่ก็ได้ แต่สิ่งทีเราเห็นคือ ศาสนาคือความสัมพันธ์ของกลุ่มบุคคลที่ถือเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือหลายสิ่งประกอบขึ้นเป็นศาสนา ทุกวันนี้กระแสนิยมของสิ่งต่างหลั่งไหลเข้ามาอย่างมากและรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นเหล่าคนดัง เทคโนโลยี หรือแม้แต่วัฒนธรรมต่างๆ โลกยุดนี้ เป็นโลกยุคโลกาภิวัตน์ ยุคที่ทุกสิ่งทุกอย่างมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันในระดับที่เร็วกว่าแสง
พระเจ้า คือ ผู้ที่เป็นเจ้าแห่งความเชื่อ
คำพูดนี้ไม่ได้เกินจริงอันใดเลย ในสมัยที่มีการติดต่อสื่อสาร ความสามารถในการปฏิสัมพันธ์ที่ทำได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว บางทีคุณรู้สึกแปลกใจบ้างไหมที่อยู่ๆ คุณก็ตื่นขึ้นมาบริเวณหน้าร้านขายผลิตภัณฑ์สื่อสารข้อมูลไร้สายชื่อดัง แห่งหนึ่ง เมื่อคุณมองไปรอบๆตัวสิ่งที่นอกจากตัวคุณเองแล้วยังมีเพื่อร่วมใช้พื้นที่แห่งนี้เป็นที่นอนด้วย  หกนาฬิกา วันเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่...
แต่ถ้าคุณลองคิดว่า ถ้าคุณก้าวเดินหน้า หรือถ้อยหลังไปซักสิบก้าว พอพ้นหน้าร้าน  ไม่ก็ กลับมานอนที่นี้หลังจากนี้สามวันให้หลัง คุณอาจจะโดนหาว่าเป็นคนบ้า คนจรจัดก็เป็นได้ เหล่านี้เป็นเรื่องของความเชื่อ “คนเราทุกคนเกิดมาพร้อมความเชื่อ พร้อมความรู้สึกที่จะเชื่อ” แล้วถ้าความเชื่อของเราถูกบางคน บางกลุ่มคนครอบงำอยู่ล่ะ มันจะเกิดอะไรขึ้น
นั่นหมายถึง....ใครสักคนมีรีโมตคอลโทรลที่สามารถควบคุมคุณ และเงินในกระเป๋าคุณได้

ติดตามต่อตอนต่อไป...